?>
แชร์บทความนี้

12 เรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับการออกกำลังกาย

หลาย ๆ คนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับการออกกำลังกาย จนทำให้เกิดการหลีกเลี่ยงที่จะออกกำลังกายไปเลย บ้างก็เชื่อว่าแค่ผอมหรือน้ำหนักน้อยก็ไม่ต้องออกกำลังกายก็ได้ 

ผู้หญิงเล่นบอดี้เวทแล้วจะตัวใหญ่ ความเชื่อเหล่านี้เป็นความจริงหรือไม่ บทความนี้เรามาไขเรื่องเข้าใจผิดเหล่านี้กัน ถ้าพร้อมแล้วไปกันเลยครับ

1.ผู้หญิงส่วนใหญ่เล่น บอดี้เวท (Body Weight) ทำให้ตัวใหญ่

ความจริงแล้วนะครับสิ่งที่จะทำให้กล้ามหรือร่างกายบึกบึนนั้น เกิดจากฮอร์โมนที่ชื่อว่า เทสโทสเตอโรน  (Testosterone) เป็น ฮอร์โมนเพศเพศชาย ที่สำคัญที่สุดต่อการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อ การรักษามวลกล้ามเนื้อ รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ ในร่างกายของผู้หญิงจะมีฮอร์โมนที่ว่ามานี้น้อยกว่าผู้ชาย 10 – 30 เท่า ดังนั้นการเล่นบอดี้เวท จึงไม่มีอะไรน่ากลัว แถมยังช่วยให้กล้ามเนื้อกระชับ ไม่หย่อนคล้อย เพิ่มการเผาผลาญ และยังช่วยลดน้ำหนักได้อีกด้วย

2.ลดน้ำหนักด้วยการอดอาหาร

หลายคนเข้าใจผิดว่าการอดอาหารคือการลดความอ้วนนะครับ คิดว่าการอดอาหารเท่ากับการลดน้ำหนัก แต่ความจริงแล้ว การอดอาหารสามารถลดน้ำหนักได้เพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น และมีผลเสียตามมาอีกหลายอย่างเช่น ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้สมดุลของร่างกายเสียหาย สิ่งที่แสดงอาการออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนที่สุดคือ อาการหน้ามืด เป็นลม หรือตอบสนองช้า ถ้าหากต้องการลดน้ำหนักอย่างจริงจังเรามีวิธีที่ได้ผลแบบยั่งยืนที่สุดคือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ งดของมันของทอด และพักผ่อนให้เพียงพอ สิ่งเหล่านี้นอกจากจะช่วยให้น้ำหนักลดลงแล้ว ยังช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและสุขภาพดีอีกด้วยครับ

3.ไม่กินอาหารก่อนออกกำลังกาย

หลายคนเชื่อว่า การกินอาหารก่อนออกกำลังกายจะทำให้อ้วน ความจริงแล้วเป็นเรื่องเข้าใจผิดนะครับ เพราะการไม่กินอะไรก่อนออกกำลังกาย หรือไม่หาอะไรมารองท้องก่อนมันไม่ได้ช่วยทำให้ผอมแต่อย่างใด แต่จะส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างมาก และเสี่ยงต่อการช็อคได้ เพราะร่างกายคนเรานั้นต้องใช้พลังงานในการออกกำลังกาย เราขอแนะนำว่าให้หาอาหารเบา ๆ มารองท้องก่อนออกกำลังกาย เช่นผลไม้ ข้าวโอ๊ต โยเกิร์ต กล้วย หรือน้ำเต้าหู้ ควรกินก่อนออกกำลังกายอย่างน้อย 30 – 40 นาทีนะครับ เพื่อลดอาการหน้ามืดหรือเป็นลม

4.เหงื่อมาก = ลดไขมันมาก

หลายคนเชื่อว่ายิ่งเราออกกำลังกายแล้วมีเหงื่อออกมากเท่าไรเท่ากับยิ่งลดไขมันได้มาก ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดเกี่ยวกับการลดไขมันนะครับ การที่น้ำหนักลดลงหลังจากการออกกำลังกาย เป็นเพราะร่างกายเสียเหงื่อ เมื่อดื่มน้ำกลับเข้าไป น้ำหนักตัวก็จะกลับมาเท่าเดิม เมื่อร่างกายมีการขับเหงื่ออกมามาก เราต้องดื่มน้ำเข้าไปทดแทนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะขาดน้ำ ถ้าเหงื่อออกมากจะเป็นเรื่องของการระบายความร้อนในร่างกายให้กลับมาสู่สภาวะปกติ เป็นคนละเรื่องกับการเผาผลาญไขมันครับ

5.มีประจำเดือนห้ามออกกำลังกาย

ความจริงแล้วการออกกำลังกายในขณะที่มีประจำเดือนอยู่ สามารถทำได้ครับ และเป็นสิ่งที่ดี เพราะการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ร่างกายหลังสารเอ็นดอร์ฟิน (Endorphin) ออกมา ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย แต่ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก ๆ เช่น บอดี้เวท (Body Weight) การกระโดดตบ (Jumping Jacks) เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่ร่างกายอ่อนเพลียกว่าปกติเนื่องจากสูญเสียน้ำมาก ลองหันมาจ๊อกกิ้งเบา ๆ เดิน หรือเล่นโยคะสักครึ่งชั่วโมง และที่สำคัญดื่มน้ำให้เพียงพอทั้งก่อนและหลังการออกกำลังกายด้วยนะครับ

6.ผอมอยู่แล้วไม่ต้องออกกำลังกายก็ได้

หลายคนที่ผอมอยู่แล้วคงรู้สึกว่าตัวเองไม่ต้องออกกำลังกายก็ได้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าการที่ไม่ออกกำลังกายเลยจะทำให้เราแข็งแรง เพราะการที่เราผอมไม่ได้แปลว่าเราจะไม่ได้เผชิญกับโรคอะไรอยู่ ซึ่งอาจจะเป็นโรคผอมซ่อนอ้วนอยู่ก็ได้ครับ สิ่งเหล่านี้ ไม่ได้แสดงออกมาให้เห็นโดยตรง แต่จะแสดงให้เห็นก็ต่อเมื่อเราป่วย ไม่ว่าจะผอมแค่ไหนการออกกำลังกายก็ยังเป็นเรื่องสำคัญ ที่จะช่วยป้องกันโรค และส่งเสริมสุขภาพโดยรวมของเราได้ครับ

7.น้ำหนักคือตัวบอกสุขภาพ

มีบางคนเชื่อว่า หากมีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานแล้ว ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายก็ได้ ความจริงแล้ว เป็นเรื่องที่เข้าใจผิดครับ เพราะน้ำหนักไม่ได้เป็นตัวบอกสุขภาพโดยรวมและอาจเป็นสิ่งที่ทำให้เราละเลยการดูแลสุขภาพของตัวเอง ความจริงแล้วการมีสุขภาพที่ดีอย่างแท้จริง คือควรหมั่นออกกำลังกายและเลือกกินอาหารเพื่อสุขภาพควบคู่ไปกับการพักผ่อนให้เพียงพอ เท่านี้ เราก็มั่นใจได้เลยว่าสุขภาพของเราดีเยี่ยมแน่นอน แต่ถ้าหากใครยังไม่รู้ว่าตัวเองมีน้ำหนักที่เกินเกณฑ์มาตรฐาน BMI หรือไม่ เรามีวิธีคำนวนน้ำหนักให้ดูครับว่าเราอยู่ในเกณฑ์เสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนหรือไม่

8.กินผักทำให้ผอม

หลายคนเชื่อว่าการกินผักเพียงอย่างเดียวจะทำให้ผอมหรือลดน้ำหนักได้ ความจริงแล้วการกินผักเป็นเรื่องที่ดี แต่การกินอาหาร ให้ครบ 5 หมู่ ควบคู่กับการออกกำลังกายสม่ำเสมอจะดีมากกว่าครับ วิธีนี้สามารถลดน้ำหนักและทำให้หุ่นดีไม่ผอมจนเกินไป เพราะในร่างกายของคนเราต้องการสารอาหารที่ให้พลังงานอย่าง โปรตีน ไฟเบอร์ คาร์โบไฮเดรต รวมถึงแร่ธาตุที่อยู่ในผัก เพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และเพิ่มภูมิคุ้มกันต่าง ๆ ให้กับร่างกาย เพราะฉะนั้นแล้ว การกินผักเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถทำให้ผอมหรือลดน้ำหนักได้ครับ

9.อยากหุ่นดี เเค่กินอาหารเสริม

การกินอาหารเสริม ไม่ได้ทำให้หุ่นดีเสมอไป ปัจจุบันมีอาหารเสริมมากมายหลายชนิด บ้างก็ว่ากินแล้วหุ่นดี กินแล้วผอมใน 5 วัน อย่างที่บอกครับอาหารเสริมก็คืออาหารที่ต้องทานเสริมเป็นพิเศษจากอาหารหลัก 3 มื้อ (อาหารครบ 5 หมู่) การกินอาหารเสริมไม่ใช่เรื่องผิดอะไรแต่ต้องเลือกให้เหมาะสมกับร่างกายของตัวเองและเช็ครายละเอียดของอาหารเสริมนั้น ๆ ให้ดีเสียก่อน แต่หากต้องการหุ่นดี ทางเราขอแนะนำวิธีที่ทำได้ง่าย แถมไม่ต้องง้ออาหารเสริมอีกด้วย นั้นก็คือการกินอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ กินให้ครบ 3 มื้อต่อวัน และใส่ใจในเรื่องอาหารเพิ่มขึ้น ไม่ควรกินหวานหรือเค็มมากเกินไป งดการกินแป้ง ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้ เราก็จะหุ่นดีได้โดยไม่ต้องง้ออาหารเสริมเลยครับ

10.ห้ามกินไขมัน

คนส่วนใหญ่เชื่อว่าการกินไขมันทำให้อ้วน แต่สำหรับสาวกคีโตหรือที่เรียกว่า คีโตเจนิค ไดเอท (Ketogenic Diet) เชื่อว่าการกินไขมันดี สามารถลดน้ำหนักได้ การกินไขมันสูงมากกว่าโปรตีนเป็นการลดน้ำหนักอย่างหนึ่ง โดยกินโปรตีนให้น้อยกว่าไขมัน หลีกเลี่ยงการกินคาร์โบไฮเดรต เช่น เนย ไก่ติดหนัง หมูติดมัน แต่งดการกินแป้งและน้ำตาล ซึ่งแตกต่างจากการกินคลีนอย่างชัดเจนครับ

11.ต้องไปฟิตเนสเท่านั้น

หลายคนเลือกที่จะไปออกกำลังกายตามฟิตเนส หรือยิมต่าง ๆ เพราะมีความเชื่อว่า มีเครื่องออกกำลังกายที่ครบครันกว่า แต่ความจริงแล้วการออกกำลังกายให้ได้ผล อยู่ที่ความพยายามและความสม่ำเสมอในการออกกำลังกายต่างหาก ที่จะทำให้ร่างกายแข็งแรง ซึ่งไม่จำเป็นต้องไปฟิตเนสก็สามารถทำได้ เช่น วิ่งจ๊อกกิ้งตามสวนสาธารณะ ทำให้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ และส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาวอีกด้วยครับ

12.เลือกออกกำลังกายเฉพาะส่วน

เคยไหมครับ ที่รู้สึกว่าแขน ขา หรือกล้ามเนื้อของเราไม่เท่ากัน เราจึงไปออกกำลังกายเฉพาะส่วนเพื่อให้ส่วนที่เสียไปกลับมาเท่ากันเพื่อเพิ่มความมั่นใจ และให้รูปร่างกลับมาดูดีขึ้น แต่ทางเราขอแนะนำว่า ควรออกกำลังกายด้วยท่าที่ช่วยลดน้ำหนักทั้งตัว เช่นท่าพุ่งหลัง (Jump up Burpee) ท่าปีนเขา (Mountain Climbers) เป็นต้น หรือบริหารร่างกายให้ครบทุกส่วนจะได้ผลดีกว่า แถมช่วยให้การลดน้ำหนักเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ทำให้รูปร่างดูกระชับ สมส่วนมากขึ้นด้วยครับ

และเพื่อลดอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อก่อนออกกำลังกาย เราจะต้องวอร์มอัพ (Warm up) ทุกครั้งก่อนออกกำลังกาย และ คูลดาวน์ (Cool down) หลังออกกำลังกาย ในบทความหน้า เราจะมาพูดถึง เรื่องการวอร์มอัพ (Warm up) และคูลดาวน์ (Cool down) ว่ามีประโยชน์อย่างไรบ้าง และวิธีทำที่ถูกต้องเป็นอย่างไร สามารถเข้ามาอ่านบทความได้ที่ www.irontec.co ของเราได้เลยนะครับ

ได้ไขข้อข้องใจกันไปแล้วใช่ไหมครับ สำหรับการออกกำลังกายและการดูแลสุขภาพอย่างถูกต้อง แม้ว่าการออกกำลังการนั้นจะดีต่อสุขภาพมากแค่ไหน หากเลือกทำไม่ถูกวิธี หักโหมมากจนเกินไปอาจทำให้ร่างกายเกิดอาการบาดเจ็บ หรือหากมีความเข้าใจผิด ๆ แล้วล่ะก็จะส่งผลเสียต่อสุขภาพและร่างกายของเราได้เช่นกัน หวังว่าบทความนี้คงทำให้ใครหลายคนหันมาออกกำลังกายและดูแลสุขภาพได้อย่างถูกต้องมากขึ้นนะครับ

อ้างอิง


แชร์บทความนี้